ชื่อของคิกบ็อกเซอร์หนุ่มชาวดัตช์-โมร็อกโก “อิเลียส เอ็นนาฮาชิ” อาจไม่คุ้นหูแฟนกีฬาการต่อสู้ชาวไทยมากนักทั้งๆ ที่เขาเป็นแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่งถึง 6 สมัยตั้งแต่ก่อนก้าวเท้าเข้ามาใน วัน แชมเปียนชิพ

แต่หลังจากที่เขากระชากเข็มขัดแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวตไปสมทบอีกเส้น จากการน็อกเอาต์ “The Baby Shark” เพชรดำ เพชรยินดีอะคาเดมี ในไฟต์แรกของการเปิดตัว เชื่อว่าคนไทยต้องจดจำชื่อของเขาได้อย่างแม่นยำมากขึ้นแน่นอน

เอ็นนาฮาชิ ถือเป็นคิกบ็อกเซอร์หนุ่มที่ประสบความสำเร็จ และได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจที่สุดคนหนึ่งของโลกด้วยวัยเพียง 24 ปี

หากเราย้อนหลังไปดูปูมชีวิตของเขา เราจะได้เห็นอีกเสี้ยวชีวิตของคนบนโลกที่พวกเราคนไทยแทบจะจินตนาการไม่ออก ครอบครัวของเขาดิ้นรนหนีความทุกข์ยากจากประเทศบ้านเกิด เพื่อเสาะหาอนาคตที่ดีกว่าในประเทศใหม่ตั้งแต่สมัยที่ เอ็นนาฮาชิ ยังไม่เกิด

ผู้อพยพจากโมร็อกโก

ต้นตระกูลของ เอ็นนาฮาชิ เป็นชาวโมร็อกโก แต่ครอบครัวของเขาย้ายไปอาศัยอยู่ที่ เมืองอูเทรคท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ในฐานะผู้อพยพที่ไม่ได้รับการต้อนรับ

พ่อของเขาทำงานเป็นพนักงานเก็บขยะของเทศบาล ส่วนแม่เป็นคนงานในบ้านพักคนชรา พวกเขาทั้งคู่ทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และ เอ็นนาฮาชิ ก็ถือกำเนิด ชีวิตของเขาจึงเริ่มต้นลมหายใจแรกบนแผ่นดินนี้

“ต้นตระกูลของเราเป็นชาวโมร็อกโก แต่ผมเกิดและเติบโตที่เนเธอร์แลนด์ ทุกอย่างของผมเริ่มต้นที่นี่ และผมก็รู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน ผมใช้ชีวิตกับพี่ๆ น้องๆ ครอบครัวเป็นเสมือนโลกทั้งใบและเป็นแรงใจอันดับหนึ่งของผม”

“เพราะความที่เราไม่ใช่คนที่นี่ เราเป็นคนอพยพ สมัยแรกๆ พ่อแม่ของผมจึงไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ จึงต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสิทธิของตัวเอง บางครั้งพ่อก็ต้องสู้เพื่อให้มาซึ่งการยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม”

ศิลปะการต่อสู้อยู่ในสายเลือด

พ่อเป็นคนสนับสนุนผมตั้งแต่วันแรก ผมขอขอบคุณสำหรับความรักและการอยู่เคียงข้าง และนั่นล่ะคือพ่อของผม

สมัยเป็นเด็ก ฟุตบอลคือความใฝ่ฝันของ เอ็นนาฮาชิ แต่เขาเริ่มรู้จักศิลปะการต่อสู้ครั้งแรกจากพ่อและลุงซึ่งเป็นนักคาราเต้ด้วยกันทั้งคู่ ส่วนลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นคิกบ็อกเซอร์ จึงอาจกล่าวได้ว่าความเป็นนักศิลปะการต่อสู้มันมีอยู่ในสายเลือด

“ผมเริ่มฝึกคิกบ็อกซิ่งครั้งแรกตอนอายุ 11 ขวบ หลังจากลูกพี่ลูกน้องบอกว่า มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่เก่งในกีฬานี้ จนเขาสามารถเล่นงานผมได้ ผมมีนิสัยรักศักดิ์ศรี ไม่ยอมใคร หากใครสบประมาท ผมจะยิ่งฮึดและอยากพิสูจน์ตัวเอง”

“ผมเข้ายิมฝึกคิกบ็อกซิ่งกับลูกพี่ลูกน้อง และครูฝึกบอกว่าผมทำได้ดี จากนั้น 2 เดือนต่อมา ผมก็ได้ขึ้นสังเวียน”

หลังจากผ่านไฟต์แรก หนุ่มดัตช์คนนี้ก็เดินหน้าลุยแบบไม่ยั้ง ทุกอย่างในกีฬาคิกบ็อกซิ่งสอนให้เขาแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ โชคดีที่เขาได้พ่อเป็นผู้สนับสนุน และร่วมซ้อมด้วยจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเขายอมรับว่าพ่อมีส่วนสำคัญกับเส้นทางนักกีฬาของเขาเป็นอย่างมาก

หัวเลี้ยวหัวต่อ

แม้เขาจะมีพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่สมัยที่เป็นวัยรุ่นอายุราว 16 ปี เขาก็เคยออกนอกลู่นอกทาง ติดเพื่อน กลับบ้านดึก ละเลยการซ้อม และทำเรื่องแย่ๆ

พ่อคอยเตือนสติ พูดคุยให้เขานึกถึงอนาคต รวมถึงยื่นคำขาดเพื่อให้ตัดสินใจเลือกระหว่างการกลับมาซ้อมคิกบ็อกซิ่งอย่างจริงจัง หรือจะเลิกล้มและทิ้งทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมด

“ผมต้องเลือกระหว่างศิลปะการต่อสู้กับเพื่อนๆ มันตัดสินใจยากนะ ผมอยากเก็บไว้ทั้งคู่”

“คำพ่อของสอน ทำให้ผมตาสว่าง ผมเลือกที่จะโฟกัสกับการซ้อมอย่างเต็มร้อย พอเครื่องติด ผมก็หยุดไม่ได้ เรื่องนี้สอนให้ผมคิดแบบผู้ใหญ่ รู้จักเคารพผู้อื่น และมีความสุขกับสิ่งที่มี”

สู่ความสำเร็จ

เมื่อเขาตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินอย่างชัดเจนและกลับมาตั้งใจฝึกซ้อมในฐานะนักกีฬา เขาก็คว้าแชมป์โลก Enfusion ครั้งแรกตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี โดยปัจจุบันเขาเป็นแชมป์โลกองค์กรนี้ถึง 4 สมัย อีกทั้งยังเป็นแชมป์โลก Blade และแชมป์โลก WFL อีกด้วย

ความสำเร็จทั้งหมดเป็นเครื่องการันตีฝีมือ บวกกับสไตล์การชกที่เร้าใจ ทำให้ เอ็นนาฮาชิ ได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดของ วัน แชมเปียนชิพ ซึ่งเป็นเวทีแห่งศักดิ์ศรีที่เขาจะได้พิสูจน์ฝีมือตัวเอง รวมถึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรงและเสียสละตลอดมาในชีวิต มันคุ้มค่ามหาศาลขนาดไหน

แม้ครอบครัว “อิเลียส เอ็นนาฮาชิ” จะอยู่ในฐานะผู้อพยพชาวโมร็อกโก ที่มาอาศัยในประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ความสำเร็จที่ เอ็นนาฮาชิ สร้างให้กับประเทศนี้ในฐานะแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง 7 สมัย มันช่างน่าภูมิกับสิ่งที่เขาเป็น มากกว่าต้องคำนึงถึงต้นกำเนิดเป็นไหนๆ

ปัจจุบัน เอ็นนาฮาชิ ป้องกันตำแหน่งแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต ที่แล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งในอนาคตผู้ท้าชิงรายสำคัญที่เขาต้องเจอคือ “รถถัง จิตรเมืองนนท์” แชมป์โลก ONE มวยไทย ที่ข้ามสายมาท้าชิง เพื่อหวังจะควบเข็มขัดสองประเภทกีฬาไว้เพียงคนเดียว